ReadyPlanet.com


อยากให้ช่วยกันอ่านเพื่อเสริมปัญญา


การเมืองใหม่!
โดย ราวี เวียงพยัคฆ์ 1 กรกฎาคม 2551 00:51 น.
การลงมติไว้วางใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น และรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นกับการเมืองระบบรัฐสภา
       
        ไม่ว่าฝ่ายค้านจะได้ชี้แจงแสดงเหตุผลถึงความไม่น่าไว้วางใจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ และเข้าใจอย่างไร บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลก็จะต้องยกมือไว้วางใจอยู่ดี
       
        กรณีการซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาฯ ของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กรณีการซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ฯลฯ ก็เคยถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว
       
        การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ก็ปอกเปลือกรัฐบาลทักษิณให้เห็นมาแล้วอย่างล่อนจ้อน แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลต่างก็ยกมือไว้วางใจรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเต็มที่ชนิดที่เรียกว่า เสียงไม่แตกเลยแม้แต่น้อย
       
        เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบบรัฐสภาของเรา
       
        เป็นเรื่องปกติธรรมดา จนกระทั่งผู้ที่เป็นพลังเป็นใยประเทศชาติเริ่มคิดกันแล้วว่า ถ้าหากเราจะเดินไปบนหนทางนี้ต่อไป บ้านเมืองก็จะไปไม่รอด และก็จะพบกับความตีบตันหรือวิกฤตเข้าไปทุกที
       
        ประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง และใช้เสียงข้างมากในการยึดกุมอำนาจรัฐนั้นก็ถูกแล้ว
       
        เป็นวิถีทางที่ประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลาย ต่างก็เรียกร้องมาตลอด นับตั้งแต่ที่เราเผชิญกับเผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร
       
        เราเพียงแต่เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดสำหรับปกครองประเทศแทนรัฐธรรมนูญชั่วคราวของ จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส
       
        เราเรียกร้องให้มีสภาผู้แทนราษฎร มีการเลือกตั้ง
       
        ต่อมาเราจึงค่อยๆ เรียนรู้ว่ามีรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่พอ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นประชาธิปไตยด้วย
       
        ต่อมาเราค่อยๆ เรียนรู้ว่ามีการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ การเลือกตั้งจะต้องสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงจึงจะถูกต้อง
       
        เพราะช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้งนั้น อำนาจรัฐตกอยู่ในมือของนักธุรกิจเลือกตั้ง
       
        คนพวกนี้ต่างก็รู้ว่า ต้องเอาชนะในการเลือกตั้งแล้วจะได้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะในฐานะพรรคการเมืองที่ได้เสียงมาก สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ผู้ที่ลงทุนในพรรคมากได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือได้เสียงน้อยลงมาก็มีโอกาสร่วมรัฐบาลเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี
       
        บริษัทบริวารอื่นๆ ก็จะได้รับตำแหน่งทางการเมืองลดหลั่นกันไป
       
        เมื่อใครมีอำนาจรัฐแล้ว ก็คุมการบริหารราชการแผ่นดิน คุมกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทั้งที่เป็นข้าราชการ และคุมงบประมาณแผ่นดิน
       
        คุมข้าราชการประจำเพื่อให้ข้าราชการประจำปฏิบัติตามคำสั่ง ทั้งที่ถูกกฎหมายบ้าง และไม่ถูกกฎหมายบ้าง (ส่วนที่ผิดกฎหมายนั้นไม่น่าห่วง ไม่น่าวิตกกังวล เพราะลองสามารถกุมอำนาจรัฐได้แล้ว ก็สามารถทำผิดเป็นถูก หรือถูกเป็นผิดได้ ไม่ต่างอันใดกับเผด็จการทหารที่ประชาชนคนไทยเคยขยาดในยุคของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม จอมพลประภาส ซ้ำจะชั่วร้ายเลวทรามกว่าด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาสามารถอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง มาจากประชาชน)
       
        แล้วจะมีวิธีไหนดีกว่าเลือกตั้ง เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกประชาธิปไตย สิ่งที่จะบ่งบอกความเป็นประชาธิปไตยได้ง่ายที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง
       
        ก็ต้องยอมรับการเลือกตั้ง ยอมรับการใช้สิทธิของประชาชน แต่
       
       1. การเลือกตั้งจะต้องสะอาด บริสุทธิ์ ไม่ซื้อสิทธิ ไม่ขายเสียง
       
       2. ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง คือประชาชนทั้งหลายทั้งปวงจะต้องมีความรู้ทางการเมือง เข้าใจสิทธิพื้นฐาน เข้าใจหน้าที่ของพลเมือง เข้าใจว่าผู้แทนราษฎรที่เลือกเข้าไปสภาฯ จะต้องทำหน้าที่อย่างไร ไปทำหน้าที่ภารโรงในสภาฯ ไปทำหน้าที่ก่อกวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นที่เขากำลังอภิปราย เข้าไปทำหน้าที่การ์ดหรือ รปภ.ของนักการเมืองที่โยนเศษเงินเศษทองให้หรืออย่างไร
       
        ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องรู้ จะต้องศึกษา
       
        และในที่สุดก็จะไม่เลือก ส.ส.ประเภทสวะหรือสิ่งโสโครกเข้ามาให้รกสภาฯ
       
       3. ที่สำคัญมากก็คือ สังคมของเราจะต้องพัฒนาจนกระทั่งปฏิเสธนักการเมืองที่ขาดความรับผิดชอบ ขาดจริยธรรม
       
        เป็นต้นว่า ถ้านักการเมืองคนนั้นชั่วหรือเลว ก็ไม่ต้องรอศาลตัดสินหรือต้องตีความตามรัฐธรรมนูญว่า ผิดหรือไม่ผิด
       
        นักการเมืองชั่วหรือนักการเมืองเลวคนนั้น จะได้รับการปฏิเสธจากสังคมเอง
       
        เช่น ได้ปริญญาเอกโดยซื้อเขามา สังคมของเราก็ไม่ควรจะยอมรับพบหน้าก็ถ่มถุย หรือแสดงอาการดูถูกดูแคลนจนอยู่ในสังคมเขาไม่ได้ กรณีจ้างคนอื่นสอบแทนจนถูกลบชื่อ หรือคู่สมรสถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ก็เช่นเดียวกัน
       
        หรือแม้กระทั่งถูกศาลชั้นต้นจำคุกก็ไม่ต้องรอศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา
       
        พูดง่ายๆ ก็คือ สังคมของเราจะต้องช่วยกันให้นักการเมืองของเราหน้าบางแทนการหน้าหนา อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
       
        เช่นนี้ระบบรัฐสภาของเราจึงจะไปได้และไปรอด พรรคการเมืองจะต้องเป็นสถาบันทางการเมือง เลือกเฟ้นคนดีให้ประชาชนเลือก มิใช่ส่งสมัครรับเลือกตั้ง เพราะนายหรือนางคนนี้มีเงิน มีหัวคะแนน และมีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้ง แม้ว่าเบื้องหลังของคนคนนี้จะชั่วช้าสามานย์อย่างไร มีพฤติกรรมเลวทรามอย่างไร อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
       
        การเมืองในระบบรัฐสภา จะยั่งยืนได้ก็โดยนักการเมืองที่มีคุณภาพ ในขณะนี้ช่วยกัน ช่วยขจัดนักการเมืองเลวชั่วออกไปจากเวทีการเมือง ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้องช่วยกันตรวจสอบแสวงหาความรู้ แสวงหาข่าวสารที่เป็นจริงให้รู้เท่าทันนักการเมือง
       
        ที่เคยพูดกันว่า พรรคไหนก็โกง ใครเป็นนายกรัฐมนตรีมันก็โกง ต้องเลิกคิด
       
        ต้องทำให้การโกงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตามมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ หรือนายกรัฐมนตรี


ผู้ตั้งกระทู้ อมรเทพ (patrrat-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2008-07-01 12:14:01 IP : 125.26.45.244


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71190 , อีเมล : g6_surasri@hotmail.com , โทร. 034 - 589233 - 5 ต่อ 51470